เนื่องจากโควิด-19 คลี่คลายลงแล้ว “เศรษฐกิจไทย” มีแนวโน้มฟื้นตัวชัดเจนต่อเนื่องเนื่องมาจากปัจจัยสนับสนุนการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ และการขยายตัวของภาคการส่งออกมีทิศทางที่ดีขึ้น “ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก” ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นปรับตัวทีละน้อย
แต่ยังมีปัจจัยอยู่ “ความกังวลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและสงครามตะวันออกกลาง” ตามข้อมูลจาก “ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย” ซึ่งจัดงานประกาศดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2567 โดยมี ผศ. ศาสตราจารย์ ดร.วชิรา คูณทวีเทพ ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายยุทธศาสตร์ ผู้อำนวยการสถาบันยุทธศาสตร์การค้า มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า
ในเดือนกุมภาพันธ์ 2567 “ผู้ประกอบการ” เห็นว่ามีปัจจัยลบที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจภูมิภาค และในระดับจังหวัดมีหลายเรื่อง เช่น กนง. มีมติ 5 ต่อ 2 ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 2.50 ต่อปี
ในเรื่องนี้ผู้ประกอบการขอลดอัตราดอกเบี้ยมาโดยตลอด “ลดต้นทุนทางธุรกิจ” เมื่อ กนง. คงอัตราดอกเบี้ยไว้ ส่งผลให้ “ต้นทุนภาคธุรกิจการเงินไม่ลดลง” และ สศช. ปรับลดคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2567 เติบโต 2.2-3.2% จากคาดครั้งก่อน เติบโต 2.7-3.7% หลังแนวโน้มเศรษฐกิจโดยรวมปี 2566 ขยายตัว 1.9%
การพังทลายความเชื่อมั่น ผู้ประกอบการในภูมิภาค
กลายเป็นการพังทลายความเชื่อมั่น “ผู้ประกอบการในภูมิภาค” ตอกย้ำความกังวลต่อความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล-ปาเลสไตน์ “กลัวว่าจะขยายไปทั่วภูมิภาคไปอีกนาน” ทำให้ราคาน้ำมันและพลังงานโลกยังคงอยู่ในระดับสูง
รองลงมาคือ “ความเสี่ยงจากความผันผวนของระบบเศรษฐกิจและการเงินโลก” รวมถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนที่ไม่แน่นอน “ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์” ทั้งรัสเซีย-ยูเครนหรือตะวันออกกลาง ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจโลกด้วยซ้ำ
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงในประเทศ เช่น “ฝุ่น PM 2.5” ที่ส่งผลต่อกิจกรรมกลางแจ้งในบางพื้นที่ “มันส่งผลต่อสุขภาพของคนเรา” ที่ออกมาจับจ่ายใช้สอย หรือปัจจัยปัญหาหนี้เดินทางและครัวเรือน และภาคธุรกิจอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะครัวเรือนผู้มีรายได้น้อย ธุรกิจ SME และลูกหนี้ภาคเกษตรกรรมมีภาระหนี้เพิ่มขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์
ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีความกังวลเรื่อง “ปัญหาภัยแล้งที่ส่งผลต่อผลผลิตทางการเกษตร” โดยเฉพาะภาวะเอลนีโญจะทำให้ปริมาณน้ำฝนน้อยกว่าค่าเฉลี่ยปกติ “มันจะมีผลกระทบต่อการผลิตทางการเกษตร” นอกจากนี้น้ำมันขายปลีก เช่น แก๊สโซฮอล์ออกเทน 91 และแก๊สโซฮอล์ออกเทน 95 ก็มีเพิ่มขึ้นเช่นกัน ซึ่งเป็นปัจจัยลบที่อาจส่งผลต่อเศรษฐกิจได้เช่นกัน
หากมองปัจจัยบวก “มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ” ที่มอบให้เป็นของขวัญปีใหม่ ปี 2567 เช่น มาตรการ Easy E-Receipt ตั้งแต่ 1 ม.ค. – 15 ก.พ. ถือเป็นการกระตุ้นการใช้จ่ายค่อนข้างมาก รวมถึงจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ “โดยเฉพาะชาวจีน” เข้ามายังประเทศไทยในช่วงเทศกาลตรุษจีนด้วย
ส่วนการยกเว้นการขอวีซ่าท่องเที่ยวจากบางประเทศ “ถือเป็นปัจจัยบวก” ที่ช่วยลดค่าครองชีพและวิถีชีวิต และทำธุรกิจ “กระตุ้นเศรษฐกิจให้ขยายตัว” ทำให้การท่องเที่ยวและบริการดีขึ้น มีเงินหมุนเวียนในประเทศ
ปัจจัยบวกรองลงมา “การส่งออกของไทย” ในเดือนมกราคม 2567 ขยายตัวร้อยละ 10 มูลค่า 22,649.88 ล้านเหรียญสหรัฐ และการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.6 มีมูลค่า 25,407.78 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขาดดุลการค้า 2,757 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และราคาน้ำมันดีเซลขายปลีกในประเทศทรงตัวที่ 29.94 บาท/ลิตร ทำให้แหล่งขนส่งมีเสถียรภาพ
อย่างไรก็ตามราคาสินค้าเกษตรหลายชนิดมีการปรับตัวดีขึ้น “ส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น” ทำให้มีกำลังซื้อในจังหวัดอื่นๆ “ประชาชน” เริ่มใช้จ่ายกลับสู่ภาวะปกติ แต่คุณยังต้องระมัดระวังในการเลือกผลิตภัณฑ์
ดังนั้นผลการสำรวจดังกล่าวข้างต้นสะท้อนให้เห็นว่า “ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย” เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม โดยทุกๆ ปัจจัยประมาณ 0.1-0.2 “ยกเว้นการท่องเที่ยว” ยังคงไม่สามารถกลับสู่ภาวะปกติได้
เช่นเดียวกับ “ภาคเกษตร” แม้ว่าราคาสินค้าเกษตรในปัจจุบันจะมีการปรับเพิ่มขึ้นก็ตาม จากข้อมูลจะเห็นได้ว่าผลผลิตไม่สูงมากเนื่องจากปัญหาภัยแล้ง “ความต้องการมีมากกว่าผลผลิตที่มีอยู่” ทำให้ราคาสินค้าเกษตรสูงขึ้น
ต่อไปหากเรามาดู “เศรษฐกิจปัจจุบันของแต่ละภูมิภาค” เช่น กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีเรื่องน่ากังวลในเรื่องของการลงทุน ภาคการท่องเที่ยวและเกษตรกรรม เนื่องจากดัชนีความเชื่อมั่นต่ำกว่า 50 แม้ว่าเดือนกุมภาพันธ์จะมีสัญญาณปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.1 เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม เนื่องจากนโยบายภาครัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงต้นปี
หากเรามองปัจจัยลบ “เศรษฐกิจโลกกำลังชะลอตัว” ผู้ประกอบการมีความกังวลเกี่ยวกับความผันผวนของเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ มีสัญญาณการบริโภคชะลอตัว ค่าครองชีพที่สูงขึ้นและปัญหาฝุ่น PM 2.5
ภาระหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น
ส่วนภาคกลาง ดัชนีความเชื่อมั่นต่ำกว่าเกณฑ์ 50 เช่น การท่องเที่ยว 47.7 เกษตรกรรม 47.6 และการจ้างงาน 49.4 เป็นผลจากราคาพลังงานที่สูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตและการชะลอตัวของเศรษฐกิจ รวมถึงความกังวลเรื่องภัยแล้งที่ส่งผลกระทบต่อผลผลิตทางการเกษตร มีความกังวลเกี่ยวกับต้นทุนการผลิต และการเกษตรกรรมในระดับสูง
นอกจากนี้ “ภาระหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น” ยังส่งผลต่อกำลังซื้อของประชาชนในพื้นที่อีกด้วย ส่วนปัจจัยบวก เช่น มาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายและแบ่งเบาภาระค่าครองชีพภาครัฐ โดยเฉพาะ Easy E-Receipt
ถัดมาคือ “ภาคตะวันออก” ที่สถานการณ์ดีขึ้นบ้างแล้วกว่าภาคอื่นๆ สังเกตว่าดัชนีความเชื่อมั่นทุกปัจจัยเกิน 50 โดยเฉพาะการท่องเที่ยวมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ผลจากการส่งเสริมและพัฒนาสถานที่ท่องเที่ยวและนโยบายกระตุ้นการใช้จ่าย “มีเงินหมุนเวียนในจังหวัด” ส่วนปัจจัยการส่งออกยังขยายตัวต่อเนื่อง
ปัจจัยลบ เช่น เศรษฐกิจโลกชะลอตัว การส่งเสริมการลงทุนด้านพลังงานปรับตัวลดลง สภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวยส่งผลกระทบต่อชีวิต และมีความกังวลเกี่ยวกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในอุตสาหกรรม สิ่งที่ต้องแก้ไขคือมาตรการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติในพื้นที่ EEC และสร้างมาตรฐานสินค้าส่งออกของไทยให้แข่งขันได้
อุตสาหกรรมและการท่องเที่ยวในแต่ละภูมิภาคของประเทศ
ขณะเดียวกัน “ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ” ก็มีสัญญาณดีขึ้นเช่นกัน แต่มีปัจจัยขัดขวางไม่ให้ “การท่องเที่ยวไม่โดดเด่น” และสถานการณ์น้ำเพื่อการเกษตรและอุปโภคบริโภคอาจยังไม่เพียงพอ “เศรษฐกิจโลกไม่แน่นอน” และยังมีความกังวลเกี่ยวกับต้นทุนการผลิต ปัญหาไฟป่า และกำลังซื้อที่ลดลงของคนในพื้นที่ และภาระหนี้ครัวเรือนก็เพิ่มขึ้น
ปัจจัยบวกคือ “ความต้องการสินค้าอุตสาหกรรมจากต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น” โดยเฉพาะสินค้าเกษตรแปรรูป มีกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวในพื้นที่ และนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ “สิ่งที่ต้องแก้ไข” ได้แก่ การบริหารจัดการน้ำให้เพียงพอในช่วงหน้าแล้งและกระตุ้นการใช้จ่ายเพื่อเพิ่มกำลังซื้อของประชาชนนอกเขตเมือง
หากเรามองดู “ภาคเหนือ” มีการเพิ่มขึ้นของทุกปัจจัยโดยเฉพาะการบริโภค และอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 0.4 จากมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว นอกจากนี้ผู้ประกอบการยังมีศักยภาพในการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมอีกด้วย และมีการใช้จ่ายภาครัฐ เช่น มาตรการ Easy E-Receipt และการยกเว้นวีซ่า
ปัจจัยลบนั้นคืออะไร? “จำนวนนักท่องเที่ยว” ที่ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย “เศรษฐกิจโลก” ของคู่ค้ายังอยู่ในภาวะชะลอตัว ความกังวลเรื่องน้ำไม่เพียงพอต่อการเกษตร ปัญหาฝุ่น PM 2.5 และการชะลอตัวของกำลังซื้อของประชาชนในพื้นที่
สุดท้าย “ภาคใต้” ยังคงมีปัญหาเรื่องการเกษตร ส่งผลให้ระดับรายได้ไม่โดดเด่น แต่แนวโน้มนักท่องเที่ยวกลับมาดีขึ้น และมีคำสั่งซื้อสินค้าอุตสาหกรรมทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะสินค้าที่เกี่ยวข้องกับยาง
ปัจจัยลบที่เป็นปัญหาคือ “ราคาปัจจัยการผลิตยังสูง” ส่งผลต่อต้นทุนการผลิต รวมถึงความกังวลเกี่ยวกับปัญหายาเสพติดที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง และเศรษฐกิจในพื้นที่ โดยเฉพาะความปลอดภัยใน 3 จังหวัด
นี่คือผลการสำรวจทั้งหมด “ดัชนีความเชื่อมั่นโดยรวม” เริ่มดีขึ้น แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคกลับมามีความเชื่อมั่นอีกครั้ง ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยสามารถฟื้นตัวได้ดีตามมา